ความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แบ่งออกเป็น
3 รูปแบบ คือ
1. เป็นมิตรไมตรีกันเพื่อประโยชน์ทางด้านการค้า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เป็นช่วงของการก่อสร้างราชธานีใหม่ จำเป็นต้องหารายได้เพื่อนำมาใช้เป็นการทะนุบำรุง
ประเทศ จึงส่งเสริมให้มีการค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าทางเรือสำเภา ซึ่งส่วนใหญ่
จะค้าขายกับจีน
2. เป็นประเทศคู่สงครามกัน ได้แก่พม่าและญวน
- พม่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีการทำสงครามกับพม่า 10 ครั้ง สงครามครั้ง
สำคัญคือ สงครามเก้าทัพ ปีพ.ศ.2528 ซึ่งพระเจ้าปะดุงต้องการแผ่อำนาจครอบคลุมดินแดน
สุวรรณภูมิ และเป็นการทำลายอาณาจักรไทยไม่ให้เติบโตเป็นอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยา
ได้อีก
พระเจ้าปะดุงจัดทัพมาถึง 9 ทัพ และมีความพร้อมเต็มที่ ส่วนไทยแม้จะมีกำลัง
น้อยกว่าพม่า แต่อาศัยที่มีผู้นำดีมีความสามารถ ทหารจึงมีกำลังใจเข้มแข็ง มีความสามัคคีพร้อม
เพรียง และประสานงานกันเป็นอย่างดี กองทัพพม่าจึงแตกพ่ายกลับไป
ในสงครามครั้งนี้ได้มีวีรสตรีไทยเกิดขึ้น 2 ท่าน คือ คุณหญิงจันทร์ ภรรยา
พระยาถลาง และนางมุกน้องสาว ได้ร่วมมือกับกรมการเมืองถลาง ป้องกันเมืองอย่างเต็มความ
สามารถ จนพม่าไม่สามารถตีเมืองถลางได้สำเร็จต้องยกทัพกลับไป เมื่อเสร็จศึกแล้ว รัชกาลที่ 1
ได้พระราชทานบำเหน็จความชอบ คุณหญิงจันทร์ได้เป็น ท้าวเทพกระษัตรี และนางมุกได้เป็น
ท้าวศรีสุนทร
สงครามระหว่างไทยกับพม่าสิ้นสุดลงในรัชกาลที่ 3 เนื่องจากพม่ามีกรณีพิพาทเรื่อง
พรมแดน กับเขตแดนอินเดียของอังกฤษ และพอต้นรัชกาลที่ 4 พม่าก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
- ญวน ความขัดแย้งระหว่างไทยกับญวน ซึ่งเป็นคู่แข่งของไทยในคาบสมุทร
อินโดจีน คือญวนต้องการเข้าไปมีอิทธิพลในเขมรและลาว ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย สงคราม
ระหว่างญวนกับไทยยืดเยื้อมานานถึง 24 ปี จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ญวนไปมีปัญหาขัดแย้งกับ
ฝรั่งเศส ญวนจึงยอมสงบศึกกับไทย เพื่อเตรียมกำลังไว้สู้รบกับฝรั่งเศสทางเดียว
3. การดำเนินนโยบายต่อประเทศราช
- เขมร เป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่สมัยอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี
พ.ศ2310 เขมรก็เอาใจออกห่างจากไทยไปฝักใฝ่ญวน พระเจ้าตากจึงโปรดให้ยกทัพ
ไปปราบ จึงได้เขมรกลับมาเป็นประเทศราชของไทย ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เกิดเหตุจราจลขึ้น
รัชกาลที่ 1 โปรดให้ยกทัพไปจัดการ และแบ่งเขมรออกเป็น 2 ฝ่าย คือส่วนหนึ่งให้
เจ้านายเขมรปกครอง และอีกส่วนหนึ่งให้ขุนนางไทยไปปกครอง คือเมืองพระตะบองกับเมือง
เสียมราฐ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 กษัตริย์เขมรได้ไปฝักใฝ่กับญวน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ
ญวนจึงเสื่อมลงตามลำดับ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ญวนมีนโยบายเข้าปกครองเขมรโดยตรง ทำให้
เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับญวน จนถึงขั้นทำสงครามกันเป็นเวลานานถึง 14 ปีผลของ
สงครามผลัดกันแพ้ชนะ จนในที่สุดสามารถตกลงยุติสงคราม และ
ร่วมกันปกครองเขมร
- ลาว เป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่สมัยกรุงธนบุรี โดยลาวส่งเครื่องราชบรรณาการมา
ถวายจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความขัดแย้งระหว่างไทยกับลาว เกิดขึ้นในสมัย
รัชกาลที่ 3 คือได้เกิดข่าวลือไปถึงเวียงจันทน์ว่า ไทยขัดใจกับอังกฤษ เจ้าอนุวงศ์
เห็นเป็นโอกาสจึงยกทัพมาตีเอาดินแดนไทย ขณะที่กองทัพเจ้าอนุวงศ์ถึงเมืองนครราชสีมา
นั้น ได้เกิดวีรสตรีขึ้น คือคุณหญิงโมภรรยาปลัดเมืองนครราชสีมา ได้ร่วมกับราษฎรที่ถูกกวาดต้อน
มาได้ออกอุบายเลี้ยงสุราอาหารแก่นายทหารไพร่พลลาว พอเมาแล้วจึงจู่โจมฆ่าฟันจนทหารลาว
แตกพ่ายไป เมื่อเสร็จศึกแล้ว รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯให้เป็น ท้าวสุรนารี
- มลายู หัวเมืองมลายู ได้แก่ ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ต่างเคยเป็น
ประเทศราชของไทยมาแต่สมัยอยุธยา เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 แล้ว
หัวเมืองเหล่านี้พากันแข็งเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงยกทัพไปปราบ ต่อมาสมัย
รัชกาลที่ 1 หลังเสร็จศึกสงครามเก้าทัพแล้ว ได้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานีใน พ.ศ.2328 ทำให้
บรรดาหัวเมืองมลายูที่เหลือ คือ ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู พากันเกรงกลัว จึงส่งเครื่องราช
บรรณาการมาถวาย
ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย ส่วนอังกฤษได้เริ่มเข้า
มาติดต่อค้าขายกับไทยในพ.ศ.2364 สมัยรัชกาลที่ 2 โดยอังกฤษได้แต่งตั้งให้จอห์น ครอเฟิต
เป็นทูตเข้ามาเจรจาทางพระราชไมตรี และเจรจาเรื่องการค้ากับไทย โดยอังกฤษเจรจาขอให้คน
ในบังคับของอังกฤษติดต่อค้าขายกับคนไทยได้โดยสะดวก แต่การเจรจาล้มเหลว ต่อมาอังกฤษ
ได้ส่งร้อยเอกเฮนรี เบอร์นี เป็นทูตเข้ามาเจรจากับไทยใน พ.ศ.2368 ตรงกับรัชกาลที่ 3 และได้
มีการตกลงทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี และสัญญาทางการค้า ในวันที่ 20 มิถุนายน
พ.ศ.2369 เรียกว่าสนธิสัญญาเบอร์นี ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1. ไทยกับอังกฤษจะมีไมตรีอันดีต่อกัน
2. เมื่อเกิดคดีความขึ้นในประเทศไทย ก็ให้ไทยตัดสินตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และ
ประเพณีของไทย
3. ทั้งสองฝ่ายจะอำนวยความสะดวกในด้านการค้าซึ่งกันและกัน และอนุญาตให้ฝ่ายตรง
ข้ามเช่าที่ดินเพื่อตั้งโรงสินค้า ร้านค้า หรือบ้านเรือนได้
4. อังกฤษยอมรับว่าดินแดนไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู เประ เป็นของไทย
นอกจากสัญญาทางพระราชไมตรีแล้ว ยังมีสนธิสัญญาต่อท้ายเป็นสนธิสัญญา
ทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1. ห้ามนำฝิ่นเข้ามาขายในไทย และห้ามนำข้าวสาร ข้าวเปลือก ออกนอก
ประเทศไทย
2. อาวุธและกระสุนดินดำที่อังกฤษนำมาต้องขายให้แก่รัฐบาลไทยแต่ผู้เดียว ถ้า
รัฐบาลไทยไม่ต้องการ ต้องนำออกไป
3. เรือสินค้าที่เข้ามาต้องเสียภาษีเบิกร่อง หรือภาษีปากเรือ
4. อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษขายสินค้าทั่วราชอาณาจักร
5. พ่อค้าหรือคนในบังคับอังกฤษ พูดจาดูหมิ่น หรือไม่เคารพขุนนางไทย อาจถูกขับไล่
ออกจากประเทศไทยได้ทันที
หลังจากทำสนธิสัญญากับอังกฤษแล้ว มีสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาขอทำสนธิสัญญากับไทย
บ้างโดยยึดตามแบบของอังกฤษ
ต่อมาอังกฤษได้ส่งเซอร์ เจมส์ บรูค เป็นทูตเข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทยในตอน
ปลายรัชกาลที่ 3 แต่ไม่เป็นผลสำเร็จทำให้อังกฤษไม่พอใจ และอาจใช้กำลังบังคับไทย พอดี
รัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต อังกฤษจึงเปลี่ยนนโยบายใหม่ คือส่งตัวแทนเข้ามาเจรจากับไทย
ขอขอบคุณ chiraporn.igetweb.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น